วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

วิธีเก็บรักษาช็อกโกเเลต

วิธีเก็บรักษาช็อกโกเเลต

การเก็บรักษา
ส่วนใหญ่การเก็บช็อกโกแลตที่ยังไม่ผ่านการละลายไว้ในหีบห่อมิดชิดจะสามารถเก็บได้นานเป็นปี ถ้าเก็บในบริเวณที่เย็นๆ ไม่มีลมโกรก ไม่มีความชื้น และปราศจากกลิ่นแรงๆ แต่ถ้าหากเป็น Milk Chocolate และ White Chocolate กลิ่นจะเปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายเมื่อแกะออกจากห่อแล้ว วิธีที่ดีท่สุด คือ อย่าเก็บช็อกโกแลตไว้นานเกินไป แต่ถ้าหากต้องเก็บจริงๆ ควรห่อด้วยฟิล์มพลาสติกให้มิดชิด เก็บในกล่องพลาสติกที่มีฝาปิดสนิท และอาจห่อกล่องด้วยฟิล์มพลาสติกอีกครั้งแล้วนำเข้าช่องแช่แข็ง และจะต้องปล่อยให้ละลายก่อนแกะออกจากห่อไม่เช่นนั้นจะเกิดไอน้ำในเนื้อช็อกโกแลต ทำให้ช็อกโกแลตเสื่อมสภาพได้ เพราะส่วนผสมหลักในช็อกโกแลต คือ ไขมันและไขมันซึ่งไม่เข้ากัน
วิธีเก็บผงโกโก้ที่ดีที่สุด เก็บในภาชนะทึบแสงที่ปิดสนิทและควรเก็บภาชนะไว้ในที่เย็น(แต่ไม่ใช่ตู้เย็น) เพียงเท่านี้ก็จะช่วยยืดอายุผงโกโก้ออกไปได้อีกนาน

ที่มาhttp://chocolate-only.blogspot.com https://www.sanook.com                   สืบค้น 24/1/61

ช็อกโกเเลตที่มีความเข้มข้นมาก

ช็อกโกเเลตที่มีความเข้มข้นมาก


กานาช

ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก เป็นที่นิยมนำไปทำเค้กช็อกโกแลต กานาชทำโดยการเทวิปปิงครีมที่นำไปอุ่นลงไปในช็อกโกแลตสับในปริมาณที่เท่ากัน ทิ้งไว้สักครู่จนช็อกโกแลตเริ่มละลายและคนให้เข้ากัน จะได้ส่วนผสมที่ข้นขึ้น อาจเติมเนยในปริมาณเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเงาให้กับกานาชด้วย
ทีมา https://my.dek-d.com https://th.wikipedia.org                        สืบค้น 24/1/61

ประโยชน์ของช็อกโกเเลตดำ

ประโยชน์ของช็อกโกเเลตดำ


  นักวิจัยพบว่าช็อกโกแลตดำเพียงวันละสองช้อนโต๊ะ หรือจะแปรรูปเป็นโกโก้ร้อน 1 แก้ว ช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดได้พอๆ กับการกินยาแอสไพริน
          โครงการศึกษาผลจากยาแอสไพรินที่มีผลต่อเกล็ดเลือด โดยศาสตราจารย์ไดแอนน์ เบกเกอร์ ผู้นำการวิจัยของมหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดให้กลุ่มตัวอย่างออกกำลังกาย งดบุหรี่ และอาหารบางอย่าง เช่น ไวน์ ชา กาแฟ และช็อกโกแลต ก่อนเข้ารับการทดลอง หลังจากนั้นนักวิจัยทำการเปรียบเทียบ ระยะเวลาที่เกล็ดเลือดจับตัวกันเป็นก้อน พบว่าเกล็ดเลือดของกลุ่มตัวอย่าง ที่ไม่งดช็อกโกแลต มีเกล็ดเลือดจับตัวกันช้ากว่า
          กลุ่มนักวิจัยจึงศึกษาเพิ่มเติมคุณสมบัติของเมล็ดโกโก้ และพบว่าในเมล็ดโกโก้ มีสารเคมีชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญที่มีผลทางชีวเคมีที่ออกฤทธิ์คล้ายกับยาแอสไพรินที่ช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เส้นเลือด และหลอดเลือดอุดตันที่อาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด
          ก่อนหน้านี้ก็ได้มีรายงานการวิจัยที่ออกมาสนับสนุนประโยชน์ของช็อกโกแลตอย่างต่อเนื่อง อาทิ พบว่าในช็อกโกแลตมีสารเพนเทเมอร์ที่ช่วยยับยั้งการลุกลามของเซลล์มะเร็งได้ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
ที่มา https://guru.sanook.com                                                                        สืบค้น 24/1/61

ชนิดของช็อกโกแลต

ชนิดของช็อกโกเเลต


ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน

ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน (unsweetened chocolate) คือ ช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์หรือที่รู้จักกันในนาม ช็อกโกแลตฝาด ใช้ในการอบอาหาร และเป็นช็อกโกแลตที่ไม่มีการเจือปนใด ๆ ทั้งสิ้น ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสชาติเข้มข้นและลุ่มลึกของช็อกโกแลตบริสุทธิ์ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อมีการเพิ่มน้ำตาลเข้าไป ช็อกโกแลตชนิดนี้จะใช้เป็นส่วนผสมหลักในการทำบราวนีเค้ก ลูกกวาด และคุกกี้

ช็อกโกแลตดำ

ช็อกโกแลตดำ (dark chocolate) คือช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มนมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งบางครั้งก็เรียกเป็นช็อกโกแลตธรรมดา แต่ว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเป็นช็อกโกแลตหวาน และกำหนดให้มีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 15% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 35% ช็อกโกแลตดำมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ป้องกันมิให้เกิดคราบไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ สาเหตุของโรคหัวใจเลือดตีบ และช่วยป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดแข็งตัว สาเหตุของการอุดตันในหลอดเลือด และป้องกันความดันโลหิตสูง[1]

ช็อกโกแลตนม

ช็อกโกแลตนม (milk chocolate) คือช็อกโกแลตที่ผสมนมหรือนมข้นหวาน รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดว่าหากจะเรียกว่าช็อกโกแลตนม ต้องมีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 10% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 25%
ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ (cocoa butter) นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาติลงไปด้วย ช็อกโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อกโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%

ช็อกโกแลตลิเคียวร์

ช็อกโกแลตลิเคียวร์ (liqueur chocolate) ได้จากการเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียดให้เป็นช็อกโกแลตที่มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลวหรือเป็นเพส (paste) ช็อกโกแลตลิเคียวร์จะไม่หวานเพราะไม่มีน้ำตาล และจะมีส่วนผสมของเนยโกโก้ประมาณ 53%

ช็อกโกแลตกึ่งหวาน

ช็อกโกแลตกึ่งหวาน (semi-sweet) อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่เนยโกโก้ลงไปด้วย สีของช็อกโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27% ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสหวานเล็กน้อยและกลมกล่อม

ช็อกโกแลตหวาน[แก้]

ช็อกโกแลตหวาน (sweet chocolate) ช็อกโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อกโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 1 % ช็อกโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่า ๆ กับช็อกโกแลตแบบหวานน้อย

ช็อกโกแลตขาว

ช็อกโกแลตขาว (white chocolate) ชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล เนยโกโก้ นมสด และใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย ช็อกโกแลตขาวนี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้

ลิควิดช็อกโกแลต

ลิควิดช็อกโกแลต (Liquid chocolate) เป็นช็อกโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวด ขวดละ 1 ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลายจึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้ ซึ่งเนื้อช็อกโกแลตจะแตกต่างกัน ปกติแล้วช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสไม่หวาน

กูแวร์ตูร์

ช็อกโกแลตชนิดกูแวร์ตูร์ (couverture) เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือจะเป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของเนยโกโก้อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้านที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อกโกแลตอยู่

กานาช

ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก เป็นที่นิยมนำไปทำเค้กช็อกโกแลต กานาชทำโดยการเทวิปปิงครีมที่นำไปอุ่นลงไปในช็อกโกแลตสับในปริมาณที่เท่ากัน ทิ้งไว้สักครู่จนช็อกโกแลตเริ่มละลายและคนให้เข้ากัน จะได้ส่วนผสมที่ข้นขึ้น อาจเติมเนยในปริมาณเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเงาให้กับกานาชด้วย

Confectionery Coating

เป็นช็อกโกแลตที่ใช้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาติต่าง ๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของเนยโกโก้ เหมือนชนิดอื่น ๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้

ที่มา https://th.wikipedia.org  https://writer.dek-d.com                                                                                                                                                                                                               สืบค้น24/1/61

ที่มาของช็อกโกเเลตแท่งเเละผง

ที่มาของช็อกโกเเลตแท่งเเละผง



    โดยความเชื่อของชาวแอชเต็คส์ ประเทศเม็กซิโก "เมล็ดโกโก้เป็นอาหารที่เทพเจ้ามอบให้เพื่อเป็นใบเบิกทางไปสู่สวรรค์" เมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ซึ่งทำให้พวกเขานำเมล็ดโกโก้มาทำเป็นเครื่องดื่มนั่นก็คือ "น้ำช็อกโกแลต" ต่อมานายเออร์นัน คอร์เตช นักสำรวจชาวสเปนแล่นเรือมาพบกับชาวแอชเต็คส์ ซึ่งเขาได้อาศัยอยู่กับชาวแอชเต็คส์และร่วมดื่มน้ำช็อกโกแลตด้วยกัน และนายคอร์เตชได้นำเมล็ดโกโก้กลับประเทศเพื่อลองทำเครื่องดื่มดูบ้าง และแต่งเติมรสให้หวานขึ้นจนเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันในสเปน จนในมี่สุด นายคอนราด เจ แวนฮูเตนท์ ชาวดัชได้ค้นพบการทำช็อกโกแลตแบบแท่ง เม็ด และผง
ที่มา https://th.wikipedia.org https://www.alibaba.com http://www.albeu.com สืบค้น 24/1/61

ชนกลุ่มเเรกที่ค้นพบช็อกโกเเลต

ชนกลุ่มเเรกที่ค้นพบช็อกโกเเลต

       ชนกลุ่มแรกที่รู้จักทำช็อกโกแลตเป็นอารยธรรมโบราณที่อยู่ในเม็กซิโก และอเมริกากลาง ชนกลุ่มนี้ได้แก่ชาวมายา และชาวแอซเทค แห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา คนเหล่านี้เอาเมล็ดคาเคามาบดแล้วผสมกับเครื่องปรุงหลายชนิดเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสขมเฝื่อน นอกจากใช้ประกอบอาหารแล้วช็อกโกแลตยังเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเชิงศาสนาและสังคมด้วย
ชาวมายา (ค.ศ. 250-900) เป็นชนชาติแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้ค้นพบความลับของต้นคาเคา โดยพวกเขาได้นำต้นคาเคามาจากป่าฝนและปลูกไว้ที่สวนหลังบ้าน พอออกฝักก็เก็บเอาเมล็ดมาหมักบ้าง คั่วบ้าง และยังบดเป็นเนื้อเหนียว อยากชงเป็นเครื่องดื่มก็เอามาผสมน้ำ โรยพริกไทยกับแป้งข้าวโพด ก็จะได้เครื่องดื่มช็อกโกแลตรสซาบซ่ามีฟองฟ่อง
ที่มา https://th.wikipedia.org https://www.emaze.com         สืบค้น 24/1/61 

ข้อเสียของช็อกโกเเลต

ข้อเสียของช็อกโกเเลต



1.  ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงช็อกโกแลตมี เฟนิลไธลามิน, ธีโอโบรไมน์ และกาเฟอีน อีกทั้งช็อกโกแลตสำเร็จรูปที่วางขายกันทั่วไปนั้น มีการแต่งกลิ่นและสีรวมทั้งเพิ่มน้ำตาลเข้าไปไม่น้อยเพื่อให้ขนมมีรสหวานมากๆ และ การรับประทานช็อกโกแลตจำนวนมากๆ  ก็เท่ากับว่าเราได้รับน้ำตาลมากเกินควร

2.  อาจทำให้เกิดโรคอ้วนเพราะช็อกโกแลตให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน 
วิตามินเอ ดี เค และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง หากทานมากเกินไป อาจทำให้เป็นโรคอ้วนได้

3.  เกิดอาการแพ้ช็อกโกแลตถ้ารับประทานมากเกินไป จะเกิดสิวกลางจมูก ซึ่งคืออาการแพ้
ที่มา http://www.trueplookpanya.com  https://www.siamzone.com/  สืบค้น24/12/61

ข้อดีของ ช็อกโกแลต

ข้อดีของ ช็อกโกแลต





ช็อกโกแลต หวานๆแบบนี้ ไม่ดีต่อสุขภาพแน่ๆ ไหนจะกลัวอ้วน แล้วยังเคยได้ยินว่ากินแล้วทำให้สิวขึ้นอีกด้วย แต่คุณอาจจะคิดผิดนะคะ เพราะจริงๆแล้ว ช็อกโกแลต มีประโยชน์หลายด้านเลยทีเดียว ไปดูกันดีกว่าค่ะ
1. ลดความอ่อนเยาว์ ดูเด็กขึ้น  ช็อกโกแลต เป็นอาหารที่อุดมด้วยแอนตี้ออกซิเดนท์ที่ช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะหรือความเครียด
2. ใน ช็อกโกแลต มีแมกนีเซียมสูง ซึ่งแมกนีเซียมนั้นมีประโยชน์ต่อการทำงานหัวใจและความดันโลหิตสูง
3. ต่อสู้กับอาการก่อนมีประจำเดือนได้ แมกนีเซียมใน ช็อกโกแลต จะเข้าไปช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มีผลต่ออารมณ์คุณผู้หญิงในช่วงก่อนมีประจำเดือนนั่นเอง
4. ช็อกโกแลต ตัวช่วยลดเครียด  เพราะมีกรดอะมิโนทริปโตฟานสามารถเปลี่ยนเป็นเซโรโทนินในร่างกายได้ ลดเครียดได้แบบไม่ต้องออกกำลังกาย
5. ช็อกโกแลต ช่วยผิวสวย  จากงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยเพนซิเวเนียในสหรัฐฯ ซึ่งให้คนไข้ที่เป็นสิวอักเสบจำนวน 65 คน กินช็อกโกแลตในปริมาณมากๆ และพบว่า 46 คนไม่มีความเปลี่ยนแปลง  สำหรับในเรื่องสิว 10 คนดีขึ้น และ 9 คนแย่ลง บ่งชี้ว่าช็อกโกแลตไม่มีผลกระทบใดใดต่อการเป็นสิว
6. ช็อกโกแลต ช่วยให้ตื่นตัวและสดชื่น เพราะอุดมไปด้วยพลังงานและคาเฟอีน
7. บรรเทาอาการไอ เนื่องจากสารประกอบที่ชื่อ ธีโอโบรไมน์ ในช็อกโกแลตมีประสิทธิภาพในการลดอาการไอ โดยไม่มีผลข้างเคียง
ที่มาhttps://health.mthai.com ที่มา https://daily.rabbit.co.th สืบค้น 24/12/61

วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561

คำว่า chocolate มาจากที่ไหน


คำว่า chocolate มาจากที่ไหน



                                                http://www.hiclasssociety.com    สือค้นเมื่อ วันที่ 3 ม.ค. พ.ศ.2561


     ว่ากันว่า คำว่า Chocolate มาจากภาษามายา หมายถึง การดื่มช็อกโกแลต เป็นการรวมกันของคำว่า "Chocol" ของชาวมายาที่แปลว่า "ร้อน" แล้วมาผสมกับคำว่า "atl" ของชาวแอซเทค แปลว่า "น้ำ" รวมกันเป็น "chocolatl" หรือ "ช็อกโกลาตส์" นั่นเอง ก่อนจะเพี้ยนมาเป็นคำว่า ช็อกโกแลต (Chocolate) ตามสำเนียงของชาวอังกฤษในช่วงต่อมานั่นเอง









                                                                                                           cr:https://cooking.kapook.com
                                                                                                                     สือค้นเมื่อ วันที่ 3 ม.ค. พ.ศ.2561

                                                                                                              

ต้นกำเนิดช็อกโกเเล็ต

                                                   

                             

                         cr:https://esthervivas.com     สือค้นเมื่อ วันที่ 3 ม.ค. พ.ศ.2561


                                     ช็อกโกแลต

ต้นกำเนิดช็อกโกแลต

      ในช่วงราว ๆ คริสต์ศตวรรษที่ 14 หลังจากผลผลิตจากเมล็ดคาเคาได้ถือกำเนิดขึ้นและเริ่มมีคนจำนวนมากรู้แล้วว่า ต้นคาเคานั้นสามารถนำมาทำอาหารได้ ผลผลิตต่าง ๆ จากเมล็ดคาเคาก็เริ่มเข้าไปเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวแอซเทค (ในขณะนั้นเป็นผู้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอารยธรรมเมโสอเมริกา หรือเมืองเม็กซิโก ซิตี้ในปัจจุบัน) จึงได้เริ่มมีการซื้อขายเมล็ดคาเคากับชาวมายา จากนั้นช็อกโกแลตจากชาวมายาก็กลายเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากของชาวแอซแทค ถึงขั้นที่ว่า ชาวแอซเทคมีการเรียกเก็บเมล็ดคาเคาเป็นเครื่องบรรณาการจากพลเมืองของตนและเชลยศึกแทนเงินเลยทีเดียว ซึ่งชาวแอซเทคนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มช็อกโกแลต นำมาผสมกับเครื่องเทศต่าง ๆ ให้มีรสชาติมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับชาวมายายุคแรก ๆ นั่นเอง

     ซึ่งในเวลาต่อมาเครื่องดื่มช็อกโกแลตก็ถูกยกให้กลายเป็นเครื่องดื่มเฉพาะไฮโซเท่านั้น จะมีแค่พวกเชื้อพระวงศ์ ขุนนางที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ และพวกที่มีหน้ามีตาในสังคมเท่านั้นถึงจะได้ดื่มช็อกโกแลต และจะนำไปดื่มในช่วงที่มีสาระสำคัญ ๆ เท่านั้น หลังจากนั้นช็อกโกแลตจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่มีบทบาทสำคัญในพิธีพิเศษ ๆ ของราชวงศ์และพิธีทางศาสนา เมล็ดคาเคาในยุคนั้นเลยถูกใช้เป็นเครื่องสักการะเทพเจ้าไปโดยปริยาย                                                                       

                                                                                                         cr:http:sayfon-wbv.blogspot.com

                                                                                                              

                                                                                                                                      สือค้นเมื่อ วันที่ 3 ม.ค. พ.ศ.2561